วันพุธที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

chambre noire

Un appareil photographique se compose au moins d'une chambre noire, avec d'un côté une ouverture pour faire entrer la lumière émise par la scène à photographier et de l'autre une surface sensible pour enregistrer cette lumière.

Dans le cas le plus fréquent, un objectif est positionné au niveau de l'ouverture. Le plus souvent, il contient un diaphragme permettant de doser la quantité de lumière qui entre, ainsi que la profondeur de champ (ces deux aspects étant liés). Certains objectifs (des modèles simples pour amateurs ou les objectifs catadioptriques) utilisent des ouvertures fixes.

Il existe quelques appareils qui n'utilisent pas d'objectif : les sténopés. Seule une ouverture minuscule permet la formation d'une image relativement nette, ce qui empêche de faire entrer une forte quantité de lumière et aboutit donc à des temps de pose longs. D'où l'intérêt de l'objectif : faire entrer beaucoup plus de lumière (et obtenir une image plus nette).

On installe aussi la plupart du temps un obturateur qui permet de contrôler le temps d'exposition de la surface sensible. Certaines vieilles chambres s'en passent : l'opérateur (le photographe) enlève juste un bouchon devant l'objectif le temps de la pose - mais cela est valable surtout pour les longues poses, couramment employées aux débuts de la photographie, en accord avec la lenteur des émulsions d'alors.

Les surfaces sensibles utilisées procèdent de 2 grandes familles : l'argentique et le numérique. Dans le premier cas, on utilise une émulsion de gélatine et de sels d'argent couchée sur une plaque de verre ou une pellicule, dans le deuxième un capteur (les images sont alors enregistrées sur un support électronique distinct du capteur, le plus souvent une carte mémoire).

วันศุกร์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

มากัพทั้งที ไม่มีอารายเลยอ่า อิอิ
หายไปนานมากเลย อ่านะ ได้ไปเที่ยว สวนสนุกมาด้วยสนุกมากเลย
เหอเหอ แต่เหนทื่อยสุดๆ อะนะ

เมื่อวันที่ 10 ตุลา เพื่อนณัฐได้พาขึ้นรถเมล์ผิดด้วยละ
สุดยอดเลย ไม่ได้กลับบ้านสักที แย่จัง ขึ้นผิดสองรอบ กว่าจะได้กลับ
มัวแต่นั่งกินลมเล่นอยู่
แต่ก้อหนุกดี เป็นประสบการณ์ชัวิต อิอิ

วันอังคารที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

อะนะค่ะ

หวัดดีเพื่อนๆ

เง่อส์ วันนี้จะเอาเรื่องอารายมาบอกเพื่อนๆดีละเอางี้ละกัน



Les mots à ne pas confondre !
คำสับสนในภาษาฝรั่งเศส
บ่อยครั้งเมื่อเราพบคำศัพท์ เราจำสับสนเพราะเขียนคล้ายกันมาก เช่น sale [สกปรก] กับ salle [ห้อง] ทำให้ตีความผิดๆ หรือคำเดียวกันแ่ต่ต่างเพศ ความหมายก็แตกต่างกัน เช่น un livre [หนังสือ] กับ une livre [นํ้าหนักหนึ่งปอนด์] หรือบางครั้งก็พ้องเสียง (homonyme) เช่น voie [ช่องทาง] voix [เสียง] voir [เห็น] voire [ซํ้ายัง ... เสียอีก] ทำให้เราเขียนผิดหรือแปลความหมายผิด ในส่วนของความหมายเองก็ทำให้เราสับสนในการเลือกใช้คำ เช่น accident และ incident ที่มีความหมายใกล้เคียงกันมาก คำศัพท์เหล่านี้์ ไม่ว่าจะพ้องรูป พ้องเสียง หรือพ้องความหมาย จึงน่าสนใจที่จะศึกษาเพื่อการตีความที่ถูกต้อง และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ



วันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เฮ้อออออออออออออออออออ

วันนี้รู้สึกว่า จะมีแต่เรื่องที่อยากจะทำให้เราร้องไห้
เพื่อนๆ เคยรู้สึกแบบนี้ไหม ความรู้สึกที่เราไม่มีใคร
เป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่มากเลย ฉันเชื่อได้ว่าทุกคนก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้
ความรู้สึกเหงาอ้างว้างเศร้า ปนๆกันไป(แต่เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้เรียกว่าอยากมีแฟนนะ)
เป็นความรู้สึกที่บางเวลาที่เรา เศร้า เราก็แค่อยากจะมีคนๆนึงคอยให้กำลังใจเรา "แต่มันไม่"
แต่ก็ช่างมันเถอะ ฉันจะพยามทำใจให้ได้

ภาษาฝรั่งเศส

ยุคเริ่มแรก
ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาในกลุ่มภาษาโรมานซ์ หมายความว่าเป็นภาษาที่มีต้นกำเนิดจากภาษาละตินที่พูดกันในจักรวรรดิโรมันโบราณ ก่อนหน้าที่ดินแดนที่เป็นที่ตั่งประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบันจะอยู่ใต้การปกครองของโรมัน ดินแดนดังกล่าวเคยอยู่ใต้การปกครองของพวกกอล ซึ่งเป็นหนึ่งในชนชาติเซลต์ ในสมัยนั้นดิินแดนประเทศฝรั่งเศสมีคนที่พูดภาษาถิ่นต่าง ๆ กันหลายภาษา แม้ว่าชาวฝรั่งเศสจะชอบสืบที่มาของภาษาของตนไปถึงพวกกอล (les Gaulois) แต่มีคำในภาษาฝรั่งเศสเพียง 2,000 คำเท่านั้นที่มีที่มามาจากภาษาของพวกกอล ซึ่งโดยมากจะเป็นคำที่ใช้เป็นชื่อสถานที่ หรือเป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติ

หลังจากดินแดนของพวกกอลถูกชาวโรมันยึดครอง คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็หันมาพูดภาษาละติน ซึ่งภาษาละตินที่พูดกันในบริเวณนี้ ไม่ใช่ภาษาละตินชั้นสูงแบบที่พูดกันในหมู่ชนชั้นสูงของกรุงโรม แต่เป็นภาษาละตินของชาวบ้าน (vulgar latin) ที่พูดกันในหมู่พลทหาร นอกจากนี้ ภาษาละตินที่พูดกันอยู่ในฝรั่งเศสนั้น ก็ได้รับอิทธิพลจากภาษากอลอยู่พอควร เนื่องจากสิ่งของบางอย่างที่ใช้กันอยู่ในกอล พวกโรมันไม่มีชื่อเรียก จึงต้องขอยืมคำในภาษากอลมาเรียกสิ่งของเหล่านั้น เช่น les braies ซึ่งแปลว่าเครื่องแต่งกายจำพวกกางเกงของชาวกอล


ยุคอาณาจักรแฟรงก์
หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 3 เป็นต้นมา จักรวรรดิโรมันก็เสื่อมอำนาจ ดินแดนหลายส่วนของจักรวรรดิโรมันตกอยู่ในเงื้อมมือของชนเผ่าป่าเถื่อนหลายพวก ชนเผ่าป่าเถื่อนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน ได้แก่ ชนเผ่าแฟรงก์ที่อาศัยอยู่ทางเหนือ ชนเผ่าวิซิกอทที่อาศัยอยู่ทางใต้ ชนเผ่าเบอร์กันดีในบริเวณริมแม่น้ำโรน และชนเผ่าเอลแมนที่อาศัยอยู่บริเวณพรมแดนของประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี ชนเผ่าป่าเถื่อนเหล่านี้พูดภาษาในกลุ่มภาษาเยอรมนิก สำเนียงของชนเหล่านี้ได้ส่งผลต่อภาษาละตินที่เคยพูดอยู่เดิมในฝรั่งเศส และคำจากภาษาของชนป่าเถื่อน ได้แก่ คำที่มีความหมายเกี่ยวกับยุทธวิธีในการรบ และชนชั้นทางสังคม ได้ถูกนำมาใช้ในภาษาละตินที่พูดกันอยู่ในฝรั่งเศส โดยภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันมีคำที่มีที่มาจากคำในภาษาของชนป่าเถื่อนอยู่ราว ๆ ร้อยละ 15

ภาษาฝรั่งเศสในยุคกลาง
นักภาษาศาสตร์ได้แบ่งกลุ่มภาษาฝรั่งเศสที่พูดกันในยุคกลางออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือภาษาที่เรียกกันว่า Langue d'Oïl พูดกันอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ กลุ่มที่สองคือ Langue d'Oc ที่พูดกันอยู่ทางใต้ของประเทศ และกลุ่มที่สามคือ Franco-Provençal ซึ่งเป็นการผสมผสานกันของสองภาษาแรก

Langue d'Oïl เป็นภาษาที่ใช้คำว่า oïl ในคำพูดว่า "ใช่" (ปัจจุบันใช้คำว่า oui) ในสมัยกลางภาษานี้จะพูดกันในตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งภาษานี้ได้พัฒนามาเป็นภาษาฝรั่งเศสในปัจจุบัน

Langue d'Oc เป็นภาษาที่ใช้่คำว่า oc ในคำพูดว่า "ใช่" ภาษานี้พูดกันอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสและทางเหนือของสเปน ซึ่งภาษานี้จะมีลักษณะคล้ายกับภาษาละตินมากกว่า Langue d'Oïl


ภาษาฝรั่งเศสยุคใหม่
นักวิชาการเรียกภาษาฝรั่งเศสที่พูดในช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ. 1843 ซึ่งก็คือภาษา Langue d'Oïl ว่าเป็นภาษาฝรั่งเศสโบราณ เอกสารฉบับแรกที่เขียนขึ้นเป็นภาษาฝรั่งเศสโบราณ คือ "คำปฏิญาณแห่งทรัสบูร์ก" (Strausbourg) ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 1385

ในปี พ.ศ. 2082 พระเจ้าฟรองซัวที่ 1 ได้ออกพระราชกฎษฎีกาที่กำหนดให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการของฝรั่งเศสแทนที่ภาษาละติน และกำหนดให้ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการบริหารราชการ ในราชสำนัก และในการพิจารณาคดีในศาล ในช่วงนี้ได้มีการปรับปรุงตัวสะกดและการออกเสียงในภาษาฝรั่งเศส นักวิชาการเรียกภาษาฝรั่งเศสในยุคนี้ว่า ภาษาฝรั่งเศสยุคกลาง ในศตวรรษที่ 17 หลังจากที่มีการกำหนดมาตรฐานภาษาฝรั่งเศสให้พูดสำเนียงเดียวกันทั่วประเทศ การปรับปรุงและการกำหนดหลักต่างๆ ของภาษา ก็ทำให้เกิดภาษาฝรั่งเศสที่เรียกกันว่าภาษาฝรั่งเศสยุคใหม่ ซึ่งพูดกันอยู่ในปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. 2177 พระคาร์ดินัลรีเชอลีเยอได้ก่อตั้งองค์การที่เรียกว่า L'Académie Française (อากาเดมี ฟรองแซส) เพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาภาษาฝรั่งเศสไว้ไม่ให้วิบัติ และคงภาษาฝรั่งเศสให้อยู่ในรูปแบบเดิมให้มากที่สุด หน้าที่สำคัญหน้าที่หนึ่งขององค์กรนี้ คือ การออกพจนานุกรม

ในช่วงศตวรรษที่ 17-19 ฝรั่งเศสได้มีบทบาทสำคัญในการเมืองของทวีปยุโรป และเป็นศูนย์กลางของปรัชญารู้แจ้งที่แพร่หลายกันอยู่ในสมัยนั้น ทำให้อิทธิพลของภาษาฝรั่งเศสแผ่ออกไปกว้างขวางและกลายเป็นภาษากลางของยุโรป มีบทบาทสำคัฐทางการทูต วรรณคดี และศิลปะ มหาราชในยุคนั้นสองพระองค์ คือ พระนางแคทเธอรีนมหาราชินีแห่งรัสเซีย และพระเจ้าเฟรดริกมหาราชแห่งปรัสเซีย สามารถตรัสและทรงพระอักษรเป็นภาษาฝรั่งเศสได้ดี


เครดิต wikipedia

Le français

Le français est une langue romane parlée en France, dont elle est originaire (la « langue d'oïl »), ainsi qu'en Afrique francophone, au Canada (principalement au Québec, au Nouveau-Brunswick et en Ontario), en Belgique, en Suisse, au Liban, en Haïti et dans d'autres régions du monde, soit au total dans 51 pays du monde ayant pour la plupart fait partie des anciens empires coloniaux français et belge.

La langue française est un attribut de souveraineté en France : c'est la langue de la République française (article 2 de la Constitution de 1958). Elle est également le principal véhicule de la pensée et de la culture française dans le monde.

Elle est une des deux seulescitation nécessaire langues internationales à être présentes et enseignées sur les cinq continents, une des six langues officielles et une des deux langues de travail (avec l'anglais) de l'Organisation des Nations unies, et langue officielle ou de travail de plusieurs organisations internationales ou régionales, dont l'Union européenne. Après avoir été la langue de l'Ancien Régime, des tsars de Russie en passant par les princes de l'Allemagne, jusqu'au rois d'Espagne, elle demeure une importante langue de la diplomatie internationale aux côtés de l'anglais.

La langue française a cette particularité que son développement et sa codification ont été en partie l'œuvre de groupes intellectuels, comme la Pléiade, ou d'institutions, comme l'Académie française. C'est une langue dite « académique ». Toutefois, l'usage garde ses droits et nombreux sont ceux qui malaxèrent cette langue vivante, au premier rang desquels Molière : on parle d'ailleurs de la « langue de Molière ».

ภาษาฝรั่งเศส

ภาษาฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: français, อังกฤษ French) เป็นหนึ่งในภาษากลุ่มโรมานซ์ที่สำคัญที่สุด เป็นรองเพียงภาษาสเปนและโปรตุเกส ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีคนพูดมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก โดยเมื่อปี พ.ศ. 2542 มีคนพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแรก (ฟรองโกโฟน) ประมาณ 77 ล้านคน และเมื่อรวมคนที่พูดเป็นภาษาที่สองแล้วจะมีประมาณ 128 ล้านคน

ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ และภาษาที่ใช้ปกครองในชุมชนต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ด้วย (เช่น สหภาพยุโรป ไอโอซี องค์การสหประชาชาติ และ สหภาพสากลไปรษณีย์) ในสมัยก่อนภาษาฝรั่งเศสถือเป็นภาษาสากลที่แพร่หลายที่สุด โดยมีสถานะดังเช่นภาษาอังกฤษในปัจจุบัน หนังสือเดินทางของไทยก็เคยใช้ภาษาฝรั่งเศสควบคู่กับภาษาไทย

วันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

อัพ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

หลังจากที่ปล่อยให้มันเน่ามาตั้งนานเราก้อได้ทำการ อัพมาอีกครั้ง

ครั้งนี้เราไม่ได้มามือเปล่า เราจะนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังด้วย

ช่วงนี้เนื่อยมั๊กมาก งานเยอะ เรียนก้อเข้มข้นขึ้น เล่นเอาเราเกือบจะหมดแรงเหมือนกัน

ใกล้สอบแล้วน้าเตรียมตัวยังเอ่ย ส่วนเรา ก้อเตีรยมบ้างแล้ว แต่ยังไม่ค่อยไปถึงไหนเลย ง่า แย่จัง

ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรมาให้เพื่อนได้ชมเลย คอมเจ๊ง ยังมะด้ายเอาไปซ่อมเลย แย่จัง

เพื่อนๆ ก้ออ่านที่เราเพ้อ ๆ ไปก่อนนะ เอาไว้คอมเราหายหวัดเมื่อไหร่ แล้วจะนำสาระหรือสิ่งดีๆมาฝาก

อะนะ

รักและคิดถึงเพื่อนๆทุกคนเลย

วันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

วันนี้มาอัพอีกคร้ง มาพร้อมกับมิวสิควิดีโอ อะนะ กว่าจะลงเป็น แทบตาย แล้ววันหลัง

จะเอามาให้ดูอีกนะ






การกลับมาในครั้งนี้ เป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ (เว่อร์ไปปะ)ก้อนะมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย อยากจะขอบคุณทุกคนที่เป็นแรงผลักดันให้ณัฐก้าวต่อไป ขอบคุณค่ะ

วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Géographie

La France est le 47e État par sa surface terrestre et le 2e par la surface de sa zone économique exclusive.

La France métropolitaine est localisée en Europe occidentale (voir la liste de points extrêmes de la France). La France possède aussi des territoires, sous différents statuts administratifs, en dehors du territoire européen : en Amérique du Nord, dans les Antilles, en Amérique du Sud, dans l’océan Indien, dans le nord et le sud de l’océan Pacifique et en Antarctique. Elle partage en métropole 2970 km de frontières terrestres avec huit pays limitrophes : Espagne (650 km), Belgique (620 km), Suisse (572 km), Italie (515 km), Allemagne (450 km), Luxembourg (73 km), Andorre (57 km), Monaco (4,5 km). En Guyane, les frontières sont de 700 km[10] avec le Brésil et 520 km avec le Suriname. Une frontière longue de 10,2 km (mais non matérialisée) sur l’île de Saint-Martin aux Antilles, sépare la partie française de celle sous souveraineté des Pays-Bas. Enfin la Terre Adélie (TAAF) revendiquée par la France est enclavée dans une partie de l’Antarctique revendiquée par l’Australie.

Les côtes françaises présentent quatre façades maritimes tournées vers la mer du Nord, la Manche, l’océan Atlantique et la mer Méditerranée, ce qui fait de la France un carrefour de cultures et de communications unique en Europe.

La France métropolitaine a une grande variété de paysages, entre les plaines côtières situées dans le nord et l’ouest et les chaînes de montagnes dans le sud-est (les Alpes) et le sud-ouest (les Pyrénées). Les Alpes françaises possèdent le point le plus haut d’Europe de l’Ouest, le mont Blanc, qui culmine à 4 810 m. Il existe aussi d’autres régions montagneuses plus anciennes, telles le Massif central, le Jura, les Vosges, le massif armoricain et les Ardennes qui sont assez rocheuses et boisées. La France bénéficie également d’un réseau fluvial étendu qui est composé principalement par la Loire, le Rhône (source en Suisse), la Garonne (source en Espagne), la Seine et une partie des cours du Rhin, de la Meuse, et de la Moselle ainsi que la Somme, et la Vilaine qui constituent leurs propres bassins fluviaux.

วันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เจ้าของไดมาแว้วววววววว






อะนะ หลังจากที่ให้มันเน่ามาเป็นเวลานาน บัดนี้ได้มาอัพสักที

ช่วงนี้เรียนหนักบ้างไม่หนักบ้าง แล้วแต่วิชาอะ

ช่วงนี้มีไรให้คิดมากเลยอะ แย่จัง คิดจนหกัวจะระเบิดอยู่แล้ว

มะเป็นไร มะเป็นไร สู้เข้าไว้แล้วจะดีเอง อิอิ


(เริ่มเพ้อแล้ว)

ไว้วันหน้าจะนำความรู้เกี่ยวกับฝรั่งเศสมาให้อ่านนะ


บายจ้า








วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เต้น อย่างฮา

เมื่อปีที่แล้ว ได้เต้นงานวันชาติฝรั่งเศส ไม่คิดเลยว่าเราจะทำได้